ใครสายเบิร์น ต้องออกกำลังกายเลย
🏃🏼♀️ ใครสายเบิร์น ต้องออกกำลังกายเลย เพราะเพิ่มเตาพลังงานชื่อไมโตคอนเดรียไว้เบิร์น fat นั่นเอง
.
🎯 เมื่อเจอปัญหา ร่างกายย่อมต้องปรับตัว กล้ามเนื้อก็เช่นกันค่ะ หากเราซ้อมให้มันเผชิญความเหนื่อยบ่อยๆ มันจะหาทาง “อัปเกรดตัวเอง” หนึ่งในนั้นคือ การพัฒนาระบบไมโตคอนเดรียนั่นเอง
⸻
🎬 ปัญหาอะไรบ้างที่บีบให้กล้ามเนื้อพัฒนา?
⸻
1️⃣ วิกฤติพลังงานใกล้หมด:
ออกกำลังกาย ใช้พลังงานจนต่ำ
→ เซนเซอร์พลังงานชื่อ AMPK รับรู้ว่า
“เซลล์กำลังขาดพลังงานแล้ว”
→ ต้องรีบหาสิ่งที่สร้างพลังงาน
.
2️⃣ วิกฤติแคลเซียมทะลัก:
ทุกครั้งที่กล้ามเนื้อหด ต้องปล่อยแคลเซียมจากโกดัง
→ แต่ออกกำลังกาย มันปล่อยออกมาถี่จนเก็บไม่ทัน
→ เซนเซอร์แคลเซียมชื่อ CaMK รับรู้ว่า
“แคลเซียมเยอะไปแล้ว”
→ ต้องหาสถานที่ที่เอาไว้เก็บสำรองเวลาฉุกเฉิน
⚠️ เซลล์กลัวแคลเซียมล้นมากๆ
เพราะสามารถกระตุ้นการทำลายของเซลล์ได้
.
3️⃣ วิกฤติความเสียหายเชิงกลและอนุมูลอิสระ:
กล้ามเนื้อที่เผชิญกับการเสียดสี/หดไปมาตลอด
→ จะมีอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น
→ เซนเซอร์อนุมูลอิสระชื่อ p38 MAPK รับรู้ว่า
“อนุมูลอิสระเยอะเกินไปแล้ว”
→ ต้องหาสิ่งที่คอยทำลายอนุมูลอิสระนี้
⸻
สิ่งที่สามารถแก้ 3 ปัญหานี้ได้พร้อมกันเลยคือ
🎯 เจ้าพ่อไมโตคอนเดรียของเรานั่นเอง❗️
✅ ที่สร้าง ATP ก็ได้
✅ เก็บแคลเซียมไว้ชั่วคราวก็ได้
✅ มีเอนไซม์ทำลายอนุมูลอิสระด้วย
.
💡 3 เซนเซอร์นี้รวมทีมกัน → ไปปลุกสวิตช์ PGC-1α
• สร้างไมโตคอนเดรียตัวใหม่
• พร้อมปรับคุณภาพตัวเดิมไปด้วยค่ะ
เช่น ซ่อมแซม, ตัวเสียหายหนักไปรีไซเคิล (Mitophagy)
.
🔁 เท่านี้เซลล์ก็ได้ระบบไมโตคอนเดรียที่ดีขึ้นมาก ไว้คอยได้ผลพลอยได้นั่นคือ เป็นเตาเผาผลาญไขมันที่เราอยากลดด้วยค่ะ
⸻
🔮 สรุป:
ออกกำลังกาย = ฝึกกล้ามเนื้อเจอกับปัญหาพลังงาน + แคลเซียมล้น + อนุมูลอิสระ เพื่อบีบให้พัฒนาระบบไมโตคอนเดรียให้ดียิ่งขึ้น เผาผลาญไขมันได้ดีขึ้นค่ะ
Cr:Tensia