เงื่อนไขไทยเบรกปฏิญญาสันติภาพกัมพูชา อาจเผชิญแรงกดดัน 2 มหาอำนาจ "นักวิชาการ" ชี้ท่าทีแข็งกร้าวนายกฯ อนุทิน มาถูกทาง เมินแรงกดดันสหรัฐ สานสัมพันธ์จีน คาดข่าวลือ “ฮุนเซน” หายหน้า อาจเผชิญอาการป่วย

จากกรณีวันที่ 10 พ.ย. 68 ที่ผ่านมา เกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เป็นเหตุให้มีทหารบาดเจ็บ 4 นาย ในจำนวนนั้น 1 นายขาขาด โดยนับเป็นการขาขาดขาที่ 7 นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ค. 68 ที่ผ่านมา และหลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ ไทย ได้ลงนามปฏิญญาสันติภาพกับนายฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา ในการประชุมอาเซียน โดยมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนร่วมเป็นสักขีพยาน

จากเหตุการณ์ทหารขาขาดครั้งล่าสุด ทำให้ฝ่ายไทยระงับการดำเนินการทุกอย่างกับกัมพูชารวมถึงปฏิญญาสันติภาพ ทำให้บางส่วนกังวลว่าจะทำให้มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ใช้มาตรการ เช่น มาตรการทางภาษีกดดันไทยหรือไม่ ล่าสุดวันนี้ (12 พ.ย.) นายกฯ อนุทิน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า ไทยต้องมีความพร้อมตลอดเวลา เราเป็นประเทศที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกเป็นหลัก ฉะนั้นก็มีหน้าที่ที่จะแสวงหาโอกาส หาตลาดใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ยันไม่ให้สิ่งเหล่านี้มาเป็นตัวฉุด หรือทำให้เสียเปรียบ หรือทำให้อธิปไตยถูกก้าวล่วง


รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา เป็นเพียงการประกาศความตั้งใจของทั้ง 2 รัฐในการพัฒนาสันติภาพร่วมกัน ไม่ใช่สนธิสัญญา และไม่ใช่แม้แต่ MOU (บันทึกความเข้าใจ) ไม่ได้มีผลบังคับทางกฎหมาย ซึ่งกัมพูชาละเมิดในเรื่องของทุ่นระเบิดก็ไม่ได้มีบทลงโทษอะไร

“ปฏิญญาฯ เป็นแค่คำประกาศ ไม่ได้มีข้อผูกมัดอะไร และเราไม่ได้ยกเลิก เป็นเพียงการระงับเพื่อกดดันกัมพูชา เมื่อถึงจุดหนึ่งกัมพูชาอยากมาเจรจากับไทยหรือกัมพูชาจะเตลิดเปิดเปิงไป แต่เมื่อเราดึงกัมพูชามาพูดคุยในลักษณะที่เขาเสียเปรียบได้ ปฏิญญาที่ไม่ได้ยกเลิกนี้จะกลายมาเป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญ”

ในส่วนของมหาอำนาจอย่าง สหรัฐฯ หรือจีน ที่อาจเข้ามามีบทบาทก็ต้องวางแผนกันต่อไป ในส่วนสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามาเป็นเพียงสักขีพยานในการลงนามปฏิญญาฯ แต่ก็น่าสังเกตถึงท่าทีของนายกฯ อนุทิน ที่ดูไม่ได้แคร์ ปธน.ทรัมป์มากนัก คาดว่าสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) น่าจะเตรียมยุทธศาสตร์อย่างอื่นเอาไว้แล้ว เช่น หากทรัมป์ใช้มาตรการทางภาษีกดดันก็จะไปหาตลาดใหม่ชดเชย หากทรัมป์เปลี่ยนไปใช้มาตรการอื่น ก็ค่อยพิจารณากันอีกครั้งโดยยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก

รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ทั้งนี้จากการให้สัมภาษณ์ของนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ เห็นได้ว่าที่ผ่านๆ มา ไทยก็เจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ หนักเช่นกัน เพราะสหรัฐฯ ต้องการให้ไทยเจรจากับกัมพูชา หมายความว่าเราก็ยังสามารถต่อรองได้อีก ขึ้นอยู่กับศิลปะในการเจรจา

“การที่สหรัฐฯ จะใช้มาตรการกดดันไทยก็อาจจะมีบ้าง ซึ่งเราก็คงต้องต่อรอง แต่ ณ วันนี้ต้องเอาผลประโยชน์ เอาอธิปไตยเป็นตัวตั้ง อย่างปราสาทตาควายที่เสียไป หรือทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บ ถ้าเราปกป้องในส่วนนี้ไม่ได้ ก็ตอบคำถามประชาชนในประเทศไม่ได้ เรื่องบทบาทสหรัฐฯ เป็นประเด็นรอง”

สำหรับประเทศจีน ที่ผ่านมามีท่าทีรักษาความสัมพันธ์ทั้งไทยและกัมพูชา ไม่ได้ชัดเจนว่าเลือกข้างกัมพูชาแล้วเป็นศัตรูกับไทยแม้ว่าจีนจะมีผลประโยชน์อยู่ในกัมพูชาจำนวนมากก็ตาม นอกจากนี้ความสัมพันธ์ไทย-จีน ยังมีลักษณะเป็นเครือญาติ เป็นพี่น้องกัน ซึ่งในปีนี้ครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี และในวันที่ 13 – 17 พ.ย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศจีนตามคำเชิญของนายสี จิ้นผิง ปธน.จีน โดยมี นายกฯ อนุทิน ตามเสด็จ ซึ่งทางการจีนตั้งตารอการเยือนครั้งนี้เป็นอย่างมาก เชื่อว่าความสัมพันธ์จะแนบแน่นยิ่งขึ้น


โอกาส "กัมพูชา" ใช้ท่าที "อนุทิน" ฟ้องเวทีโลก?

รศ.ดร.ดุลยภาค ชี้ว่ากัมพูชาทำเช่นนี้บ่อยอยู่แล้ว แต่ว่าครั้งนี้เป็นการที่ทหารไทยสูญเสียขาเป็นขาที่ 7 แล้ว มองเป็นเรื่องที่รุนแรงเกินไป เหมือนกัมพูชาใช้เรื่องสันติภาพมาเป็นเกราะคุ้มกันในการทำสงครามกับไทย ซึ่งตนมองว่าไม่ยุติธรรม ขณะเดียวกันประเทศไทยก็ควรต้องเดินหน้าชี้แจงประชาคมโลกให้มากกว่านี้ในเรื่องความสูญเสียของทหารไทย

“ทหารเราขาขาดไม่ใช่รายแรก แต่เป็นรายที่ 7 แล้ว นับตั้งแต่พิพาทมีข้อตกลงกันมา หากเราสื่อสารได้ดี มองว่าไม่น่าเป็นห่วงอะไร”

นายกฯ อนุทิน ควรวางตัวอย่างไร? 

รศ.ดร.ดุลยภาค มองว่า นายกฯ อนุทินเดินมาตามครรลองที่ถูกต้อง แม้ว่าจะถูกประชาชนต่อว่าแต่ก็ต้องทำ ซึ่งแนวทางการประนีประนอมโดยการระงับปฏิญญาแต่ไม่ได้ยกเลิกก็เป็นแนวทางที่ดี เพื่อจะดูพฤติกรรมของกัมพูชาและระหว่างนี้ก็ดำเนินการกดดันจนกว่าจะเห็นว่ากัมพูชามีความเป็นปฏิปักษ์กับไทยน้อยลง

“การออกมามีท่าทีแบบนี้อำนาจต่อรองของเราสูง ท่านพูดว่าหมดโอกาสสำหรับกัมพูชาแล้ว เพราะว่าไทยให้โอกาสกัมพูชาในโต๊ะเจรจาสันติภาพมาไม่รู้กี่ครั้ง เมื่อไปต่อไม่ได้จริงๆ ก็ต้องเดินหน้าในการเผชิญหน้ากับกัมพูชา หากไม่เดินหน้าเช่นนั้น นายกฯ ก็จะถูกคนไทยต่อว่า ประชาชนขาดความมั่นใจ เพราะกระแสสังคมเป็นเช่นนี้แม้แต่เสียงของคนในพื้นที่ หลายคนยังออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าอยากให้ไทยจัดการกับกัมพูชาอย่างจริงจังเสียที”


ในประเด็นที่ “สมเด็จฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา ไม่ออกมามีบทบาทในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าผิดปกติหรือไม่ รศ.ดร.ดุลยภาค คาดว่าข่าวลือว่าสมเด็จฮุน เซน กำลังป่วยน่าจะเป็นความจริง แต่อาจไม่หนักถึงขั้นติดเตียงระยะยาว และทางกัมพูชาเองก็น่าจะมีการปรับกลยุทธ์บางอย่าง เพราะที่ผ่านมาก็ค่อนข้างเพลี่ยงพล้ำ มีความพยายามหาแนวทางใหม่ๆ มาเพื่อเบี่ยงประเด็นบ้าง แต่หากไทยเอาจริง แนวแน่ในการปกป้องผลประโยชน์ประเทศ เชื่อว่าพลังอำนาจของไทยเหนือกว่ากัมพูชามาก